ยินดีต้อนรับสู่ Sukpab.com

ทุกอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพ

การออกกำลังกาย

Online

From Our Gallery

Top

สิ่งที่ควรทำเมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของแพทย์

Back Shoulders Neck / Blog  / สิ่งที่ควรทำเมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของแพทย์

สิ่งที่ควรทำเมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของแพทย์

ผู้เขียน – เชอริล แมไกวร์

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นแค่ไข้หวัดนะครับ” แพทย์บอก

ฉันก็เชื่อคุณหมอนะคะ ลางสังหรณ์ของแม่มันดันบอกว่าลูกชายอายุ 14 ปีของฉันไม่ได้เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา น้องสาวฝาแฝดของเขาเพิ่งจะเป็นปอดบวมไป และฉันก็คิดว่าการไอของเขามันคล้ายๆ กับเธอเลย ดังนั้นฉันก็เลยขอให้เอ็กซ์เรย์ปอดด้วย และลางสังหรณ์ของฉันก็ถูกจริงๆ ลูกชายฉันเป็นปอดบวม ในฐานะคุณแม่ลูกสาม นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเห็นแย้งกับคำวินิจฉัยของคุณหมอค่ะ

เราอาจจะลังเลที่จะไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคุณหมอ แต่ว่าข้อผิดพลาดทางการแพทย์และการสังเกตที่พลาดก็เกิดขึ้นได้ ย้อนไปในปี 1999 อุตสาหกรรมทางการแพทย์ตั้งเป้าหมายในการลดข้อผิดพลาดลง 50% ภายในเวลาห้าปี แต่ถึงอย่างนั้น 20 ปีต่อมาอัตราการผิดพลาดก็ยังเหมือนเดิมที่เคยเป็นมา

“ในฐานะแพทย์และผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง ผมได้สัมผัสกับปัญหาจากทั้งสองมุมมองเลยครับ” คุณมาร์ก ดี. เรโก ซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิกจิตเวชศาสตร์ที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเยลเอ่ย “ปัญหาคือความไม่สมดุล เนื่องจากแพทย์มีความรู้และประสบการณ์ที่อาจจะยากต่อการสรุปวินิจฉัยครับ”

คุณเรโกยังอธิบายต่อว่า “แม้แต่ในฐานะแพทย์ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคและเนื้อหามาเองก่อนแล้ว ผมก็ยังพบว่ายังคงไม่มั่นใจอยู่บ่อยๆ ว่าควรจะพิจารณาอย่างไรดี”

หากคุณหรือครอบครัวของคุณได้รับคำวินิจฉัยที่ดูจะไม่เพียงพอหรือไม่แม่นยำ โปรดลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้:

เมื่อตอนที่ฉันสงสัยว่าลูกชายของฉันป่วยด้วยโรคอื่นที่ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา ฉันได้ขอให้ตรวจผลเลือด เอ็กซ์เรย์ หรือการตรวจอื่นๆ ที่จะยืนยันคำวินิจฉัยได้ค่ะ คุณหมอรู้สึกยินดีที่ฉันขอให้ตรวจเพิ่มเพราะมันจะช่วยเพิ่มแนวทางการวินิจฉัยให้เขา ผลตรวจพบว่ามีน้ำอยู่ในปอดของลูกชายฉัน ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาเป็นปอดบวมค่ะ

แทนที่จะมองว่านี่เป็นการโต้แย้ง ลองถามเป็นคำถามจะดีกว่าค่ะ คุณเรโกได้แนะนำให้พิจารณาคำถามเหล่านี้ค่ะ “อาการในแง่ไหนที่ยังไม่ได้ถูกระบุ? มีอะไรที่คุณหมอมองข้ามไปเพราะว่าคิดว่าไม่เกี่ยวข้องรึเปล่า? คุณกำลังไม่เชื่ออยู่รึเปล่า? คุณกลัวกว่าคุณจะอาการรุนแรงขึ้นและอาจถึงขั้นเสียชีวิตรึเปล่า?” 

เมื่อคุณพิจารณาข้อกังวลของคุณแล้ว คุณเรโกก็แนะนำให้บอกกับคุณหมอไปตามตรงค่ะ

ถ้าคุณสงสัยในคำวินิจฉัยของคุณหมอแล้วล่ะก็ คุณเรโกก็แนะนำให้ให้เกียรติด้วยการเปิดด้วยประโยคอย่างเช่น “ฉันรู้ว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ะ แต่มีบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลอยู่”

“คุณควรที่จะอ่อนน้อมทั้งในขณะที่พูดและในความคิดด้วย” เขาบอก

มันเป็นเรื่องปกติที่จะขอความเห็นจากแพทย์อีกท่านหนึ่ง บางครั้งการไปเจอแพทย์ที่มีมุมมองต่างออกไปก็สามารถช่วยวินิจฉัยปัญหาได้

“แพทย์ก็ไม่ได้ถูกตลอดเวลาครับ แต่พวกเขาควรจะใส่ใจรายละเอียดเมื่อมีบางอย่างที่ผิดปกติและพร้อมที่จะพิจารณาใหม่เสมอ” คุณเรโกเอ่ย

ในหลายๆ ครั้งเพื่อนหรือครอบครัวของเราอาจเคยประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกันและอาจช่วยให้ความเห็นหรือแนะนำแพทย์เฉพาะทางให้ได้ แต่โปรดจำไว้ว่าข้อมูลเพียงเล็กน้อยของอีกบุคคลหนึ่งไม่ใช่การวินิจฉัยที่ถูกต้องสำหรับสถานการณ์ของคุณเสมอไป

เรโกอธิบายว่าการหาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เฉพาะทางไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหาแพทย์ที่ผู้ป่วยคนอื่นๆบอกว่า “เก่ง” เขากลับพูดว่า “ลองหาหมอที่ทำงานในโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือโรงเรียนแพทย์ดูสิครับ” แพทย์ที่ทำงานให้โรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือโรงเรียนแพทย์หมายถึงว่าพวกเขาได้ร่วมงานกับแพทย์คนอื่นๆ และเข้าถึงเนื้อหาวิชาการมากกว่า

“หลังจากที่คุณเลือกหมอจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือโรงเรียนแพทย์ได้แล้ว ก็ลองเช็คด้วยการเอาชื่อไปเสิร์ชใน Google Scholar เพื่อดูว่าเขาได้เผยแพร่บทความที่เกี่ยวกับหัวข้อของคุณมากแค่ไหน” คุณเรโกแนะนำ “ถ้ามีอย่างน้อย 5-10 บทความ พวกเขาก็มีความรู้และได้เจอคนไข้ที่เจอปัญหาเดียวกับคุณมาพอสมควรครับ”

ในกรณีของลูกชายฉัน เราไม่ได้ถึงขั้นต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญเนื่องจากเขาไม่ได้เป็นโรคเรื้อรังอะไรค่ะ อีกอย่างคุณหมอของเราก็ยินดีที่จะฟังข้อกังวลและคำขอในการตรวจเพิ่มด้วย แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องรู้สึกสบายใจในการพูดคุยเกี่ยวกับความกังวลของคุณให้คุณหมอฟังนะคะ ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกแบบนั้นก็อาจจะถึงแล้วเปลี่ยนคุณหมอแล้วล่ะค่ะ

เชอริล แมไกวร์ ได้เผยแพร่บทความใน The New York Times, Parents, AARP และอีกมากมาย ต้นฉบับของบทความนี้ถูกนำมากจากการเผยแพร่บนเว็บไซต์ yourteenmag.com

Share